วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

8.2 ทักษะการตระหนักในการรู้ตน

เรื่องที่ 2 ทักษะการตระหนักในการรู้ตน
(เนื้อหา) การรู้จักตนเอง เป็นเรื่องใกล้ดัวที่ดูเหมือนไม,น่าจะสำคัญอะไรที่เราจะต้องมานั่งเรียนเท่าความ เช้าใจ แต่ทว่ากลับมาความสำคัญอย่างยิ่งยวด เปรียบได้คับเสันผมบังภูเขาที่ท่าให้คนจำนวนมากที่แม้ มีความเมากมายท่วมหัวแต่เอาตัวไม,รอด เนื่องจากสิ่งหนึ่งที่เขาไม่แลยนั่นคือ การเจักตัวตนของเขา อย่างล่องแท้นั่นเอง
ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว การรู้จักตนเองนับเป็นพื้นฐานสำคัญที่เราควรเรียนรู้เป็นอันดับแรก สุดในชีวิต เนื่องจากการรู้จักตนเองจะนำไปสู่การมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการดำเนินชีวิต เนื่องจากรู้ว่าตนมี ความถนัด ความชอบ และความสามารถในด้านใด ตังนั้น จึงรู้ว่าตนควรจะเรียนอะไร ประกอบอาชีพอะไร ควรแสวงหาความรู้อะไรเพิ่มเติม
การรู้จักวิธีเฉพาะตัวที่ตนถนัดในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในด้านต่างๆ ของตนเองให้เป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ รู้เทคนิคการเรียนหนังสือของตนว่าควรใช้วิธีใดจึงประสบผลสำเร็จ รู้ตัวว่า ความจำไม,ดี จึงต้องใช้วิธีจดอย่างละเอียดและทบทวนบทเรียนอย่างสมํ่าเสมอ เป็นด้น
จุดอ่อนในชีวิตได้รับการแก้ไขอย่างบันท,วงที อาทิ เมื่อเรารู้ตัวว่าเป็นคนใจร้อน เมื่อมีเหตุการณ์ที่ เรารู้สาเหตุหากอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรงได้ ตังนั้น เราจึงเลือกที่จะแยกตัว ออกมานั่งสงบสติอารมณ์เพื่อคิดหาวิธีการแก้ไขที่ดีที่สุด
การพัฒนาทักษะการแก้ไขป้ญหาที่เคิดขึ้นในชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากรู้ว,าป้ญหานี้นมี สาเหตุมาจากตนหรือไม, และรู้ว่าตนเองควรปรับอารมณ์เช่นใด เมื่อยามเผชิญป้ญหาและควรหาวิธีการใด ที่เหมาะสำหรับตนเองมากที่สุดในการแก้ป้ญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี
การค้นพบความสุขที่แท้จริงในสิ่งที่ตนเลือกท่า เนื่องจากรู้ว่าอะไรที่ท่าแล้วจะท่าให้ตนเองมี ความสุขได้ นำไปสู่การเรียนรู้และเช้าใจผู้อื่นได้มากยิ่งขึ้น อันเป็นการลดป้ญหาความขัดแย้งและนำไปสู่ มิตรภาพที่ดีตามมา
ตรงคันข้ามคับผู้ที่ไม,รู้จักตนเอง ซึ่งมักใช้ชีวิตโดยปล่อยไปตามกระแสสังคม เลียนแบบ ท่าตามคนรอบช้าง โดยขาดจุดยืนที่ชัดเจน เช่น แสวงหาความสุขในชีวิตด้วยการไปเที่ยวเตร่คับเพื่อน เสพยาเสพติด การเลือกคณะที่จะสอบเช้ามหาวิทยาลัยตามค่านิยมขณะนั้นหรือเลือกตามเพื่อน สุดท้ายเขา จึงไม,สามารถพบคับความสุขที่แท้จริงในชีวิตได้และนำไปสู่ป้ญหามากมายตามมา นอกจากนี้ คนที่
ไม,รู้จักตนเองยามเมื่อต้องเผชิญหน้ากับ!]ญหา โดยมากแล้วมักจะไม,ดูว่า!]ญหาที่เกิดขึ้นใ4นมาจากตนเอง หรือไม, แด,มักโทษเหตุการณ์หรือโทษผู้อื่นเอาไว้ก่อน จึงเป็นการยากที่จะแก้!]ญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี ทักษะการรู้จักตนเองจึงเป็นทักษะสำคัญที่เราทุกคนต้องเรียนรู้และแกฝน เนื่องจากการรู้จัก ตนเองนั้นไม,ได้เป็นเรื่องที่นั่งอยู่เฉยๆ แล้วจะสามารถรู้ขึ้นมาได้เอง แด,ต้องผ่านกระบวนการบ่มเพาะผ่าน ประสบการณ์ต่างๆ การลองผิดลองถูก ความผิดหวัง เจ็บปวด ความผิดพลาดล้มเหลวต่างๆ เพื่อที่จะตก เป็นผลึกทางป้ญญาในการรู้จักตนเอง รวมทั้งผ่านการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง ซึ่งถือเป็นกระจก สะท้อนชั้นดีให้เราได้เรียนรู้จักตนเอง โดยยิ่งรู้จักตนเองเร็วเท่าไรยิ่งเป็นการได้เปรียบในการออกสตาร์ท ไปสู่เป้าหมายชีวิตได้เร็วเท่านั้น รวมทั้งยังเป็นรากฐานสำคัญในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและ ประสบความสำเร็จท่ามกลางป้ญหาและแรงกดดันต่าง ๆ
การแกฝนทักษะการรู้จักตนเองจึงควรเริ่มตั้งแต่วัยเยาว์โดยพ่อแม่เป็นบุคคลสำคัญแรกสุดในการ ช่วยลูกค้นหาตนเอง โดยเริ่มจากเปิดโอกาสที่หลากหลาย พ่อแม่ควรสร้างโอกาสที่หลากหลายในการให้ ลูกได้เรียนรู้ทดลองในสิ่งต่าง ๆ ให้มากที่สุด อาทิ การท่างานบ้าน กิจกรรมต่าง ๆ ที่ลูกสนใจ โดยพ่อแม่ ท่าหน้าที่เป็นผู้สนับสนุน อำนวยความสะดวกในการให้ลูกได้เรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ อย่างไร ก็ตาม กิจกรรมดังกล่าวพ่อแม่ควรคัดกรองว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์และปลอดภัยสำหรับลูกหรือไม, อาทิ การท่างานอาสาสมัครต่าง ๆ การเข้าค่ายอาสาพัฒนา การเข้าค่ายกีฬา ไม,ใช่ตามใจลูกทุกเรื่อง เช่น ลูกขอไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากแก๊งมอเตอร์ไซค์ หรือขอไปเที่ยวกลางคืนหาประสบการณ์ทางเพศ เป็นด้น ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม,สร้างสรรค์และอาจเกิดอันตรายกับลูกได้ ให้อิสระในความคิดและ การดัดสินใจ พ่อแม่ไม,ควรเป็นนักเผด็จการที่คอยบงการชีวิตลูกไปทุกเรื่อง อาทิ พ่อแม่อยากเรียนแพทย์ แด,สอบไม,ติด จึงฝากความหวังไว้กับลูก พยายามสร้างแรงกดดันและปลูกปงความคิดให้ลูกต้องสอบเข้า คณะแพทย์ให้ได้ เพื่อท่าความปนของพ่อแม่ให้เป็นจริง โดยไม,คำนึงว่าลูกจะชอบหรือมีความถนัด ในด้านนี้หรือไม, พ่อแม่ที่ปรารถนาให้ลูกรู้จักตนเองจึงควรเปิดโอกาสให้ลูกได้สามารถดัดสินใจ ในการเถือกสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง โดยพ่อแม่ท่าหน้าที่คอยชี้แนะอยู่ห่าง ๆ ถึงข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ หรือโทษ ที่ลูกจะได้รับผ่านการดัดสินใจนั้น ๆ ซึ่งหากพ่อแม่เห็นว่าการดัดสินใจของลูกเป็นไปในทาง ที่ไม,ถูกต้องและอาจจะนำไปสู่อันตรายได้ พ่อแม่สามารถใช้อำนาจในการยับยั้งการกระทำดังกล่าวได้ โดยชี้แจงถึงเหตุผลให้ลูกได้เข้าใจ เป็นกระจกสะท้อนให้ลูกเห็นตนเอง พ่อแม่ต้องท่าหน้าที่เป็นกระจกเงา สะท้อนให้ลูกได้เห็นตนเองในมุมต่าง ๆ ทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง จุดดี จุดด้อย โดยหลักการสำคัญ คือ ผิดจาก ความเป็นจริง หรืออาจรู้จักตนเองอย่างผิด ๆ ผ่านคำพูดของคนรอบข้าง เพื่อนฝูง ครู อาจารย์ซึ่งอาจท่าให้ ลูกมองตนเองด้อยค่า เกิดเป็นปมด้อยในจิตใจ โดยมีงานวิจัยยืนยันว่าหากพ่อแม่ปล่อยให้ลูกมีความเข้าใจ ที่ผิด ๆเกี่ยวกับตัวเองในเรื่องต่าง ๆทั้งๆที่ไม,ได้เป็นความจริง และหากไม,มีการรีบปรับความเข้าใจ ที่ผิด ๆ นั้นโดยเร็ว สิ่งที่ลูกเข้าใจเกี่ยวกับตนเองผิด ๆ นั้นจะกลับกลายเป็นความจริงในที่สุด
ตัวอย่างเช่น ลูกอาจโดนครูที่โรงเรียนต่อว่าเรื่องผลการสอบวิชาคณิตศาสตร์ที่ลูกสอบตก ว่าเป็น เด็กไม,ฉลาด ทั้ง ๆ ที่พ่อแม่เห็นลูกพยายามอย่างเต็มที่แล้วในวิชานี้ ในกรณีดังกล่าวพ่อแม่ควรทำหน้าที่ เป็นกระจกสะท้อนให้ลูกเห็นในมุมที่ถูกต้องและให้กำลังใจว่าลูกมีจุดแข็งที่พ่อแม่ภาคภูมิใจในเรื่องของ ความตั้งใจจริง ความขยันหมั่นเพียร แต่อย่างไรก็ตามที่ผลการเรียนออกมาเช่นนี้อาจเพราะลูกไม,ถนัดใน วิชาดังกล่าว และให้ลูกพยายามต่อไปอย่าท้อถอย อย่างไรก็ตามหากพ่อแม่ไม,มีการปรับความเข้าใจในการ มองตนเองของลูกในเรื่องนี้ ลูกจะตอกยํ้าดัวเองเสมอว่าเป็นคนหัวทึบ และเขาจะไม,มีวันประสบ ความสำเร็จในชีวิตการเรียนไต้เลย กระตุกให้ลูกไต้คิดวิเคราะห์ตนเอง โดยการหมั่นสังเกตพฤติกรรม อารมณ์ของลูก ในสภาวะต่าง ๆ หรือจากเหตุการณ์ต่าง ๆ และเริ่มตั้งกำถามกับลูกเมื่อการเรียนเตนเอง แทนการโทษผู้อื่น หรือโทษสถานการณ์
ตัวอย่างเช่น เมื่อลูกทำข้อสอบไต้คะแนนไม,ดี แล้วโทษว่าเพราะครูสอนไม,แรื่อง หรือล้างว่ายังมี เพื่อนที่เรียนแย่กว่าเขาอีก พ่อแม่ควรกระตุ้นให้ลูกไต้คิดว่าเราไม,ควรไปเปรียบเทียบกับผู้ที่เรียนแย่กว่า หรือโทษว่าครูสอนไม,แรื่อง พร้อมกับให้ลูกวิเคราะห์ตัวเองถึงจุดอ่อนจุดแข็ง เช่น ลูกมีจุดอ่อนเรื่อง ระเบียบวินัย การบริหารเวลาในการอ่านหนังสือหรือไม, เพราะที่ผ่านมาพ่อแม่ไม,เห็นว่าลูกจะตั้งใจอ่าน หนังสือหรือทบทวนบทเรียนเลย แต่มาเร่งอ่านตอนใกล้สอบ ดังนั้น ในการสอบครั้งต่อไปลูกต้องวาง แผนการเรียนให้ดีและขยันให้มากกว่านี้เป็นต้น
การสอนและเตือนสติ พ่อแม่เป็นผู้ที่เห็นชีวิตของลูกใกล้ชิดที่สุด และมีความสามารถในการเข้า ใจความเป็นตัวตนของเขามากที่สุด ซึ่งในความเป็นเด็กลูกเองยังไม,สามารถที่จะแยกแยะทำความเจักกับ พฤติกรรมหรืออารมณ์ต่าง ๆ ที่ตนแสดงออกมาไต้ โดยพฤติกรรมบางอย่างของลูกหากพ่อแม่ปล่อยปละ ละเลยไม,สั่งสอนเตือนสติแต่เนิ่น ๆ พฤติกรรมนั้น ๆ อาจบ่มเพาะเป็นนิสัยแย่ ๆ ที่ติดตัวลูกไปจนโต และ ยิ่งโตยิ่งแก้ยาก เข้าทำนองไม้อ่อนดัดง่ายไม้แก,ดัดยาก ดังนั้น พ่อแม่จึงต้องสั่งสอนและเตือนสติลูกทันที ในพฤติกรรมที่ไม,พึงประสงค์ต่าง ๆ พร้อมชี้ให้ลูกเห็นถึงความร้ายแรงและหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน
ตัวอย่างเช่น พ่อแม่เห็นว่าลูกมีอุปนิสัยเป็นคนเจ้าอารมณ์ โกรธง่าย พ่อแม่ควรพูดคุยกับลูก ถึงจุดอ่อนข้อนี้ว่าจะส่งผลเสียอย่างไรกับชีวิตของเขาในระยะยาว พร้อมทั้งหาวิธีการร่วมกันในการแกฝน ให้ลูก!เท่าทันอารมณ์ของตน ไม,ตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างผิด ๆ โดยใช้อารมณ์ความ!สึก นำหน้า อาทิ สอนให้ลูกหลีกเลี่ยงต่อสถานการณ์ที่มากระตุ้นอารมณ์โกรธ สอนลูกให้ตอบสนองอย่าง ถูกต้องเมื่อโกรธ โดยการเดินไปหาที่เงียบ ๆ สงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยมาพูดคุยกัน ท้าทายลูกให้ ทำลายสถิติตนเองให้โกรธช้าลง เช่น แด,เติมเมื่อพบเหตุการณ์ที่ไม,สบอารมณ์จะโกรธขึ้นมาทันที ครั้ง ต่อไปควรแกให้โกรธช้าลง เป็นต้น

การเรียน!จักตนเองอย่างล่องแท้นับเป็นกระบวนการเรียน!ที่สำคัญมากยิ่งกว่าการเรียน!ใด ๆ การเรียน!จักตนเองเป็นกระบวนการเรียน!ระยะยาวตลอดทั้งชีวิต อันนำมาซึ่งความสุขและเป็นรากฐาน ของความสำเร็จในชีวิต โดยพ่อแม่เป็นบุคคลสำคัญ ผู้เปิดโอกาสให้ลูกไต้เรียน!จักตนเองและเป็นกระจก บานแรกที่สะท้อนให้ลูกไต้เห็นอย่างถูกต้องว่าตัวตนที่แท้จริงของเขานั้นเป็นเช่นไร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น