ยาทุกชนิดมีทั้งคุณและโทษ ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากการใช้ยาจึงควรใช้ยาอย่าง ระมัดระวัง และใช้เท่าที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น อันตรายจากการใช้ยามีสาเหตุที่สำคัญ ดังนี้
1.ผู้ใช้ยาขาดความรูในการใช้ยา แบ่งได้ ดังนี้
1.1ใช้ยาไม่ถูกต้อง เช่น ไม่ถูกโรค บุคคล เวลา วิธี ขนาด นอกจากท่าให้การใช้ยาไม่ได้ผลใน การรักษาแล้ว ยังก่อให้เกิดอันตรายจากการใช้ยาอีกด้วย
1.2ถอนหรือหยุดยาทันที ยาบางชนิดเมื่อใช้ได้ผลในการรักษาแล้วต้องค่อย ๆ ลดขนาดลง ทีละน้อยจนสามารถถอนยาได้ ถ้าหยุดทันทีจะท่าให้เกิดโรคช้างเคียงหรือโรคใหม่ตามมา ตัวอย่างเช่น ยาเพรดนิโซโลน ยาเดกซาเมธาโซน ล้าใช้ติดต่อกันนาน ๆ แล้วหยุดยาทันที จะท่าให้เกิดอาการเมื่ออาหาร คลื่นไห้อาเจียน ปวดท้อง ร่างกายขาดน้ำและเกลือ เป็นด้น
1.3ใช้ยารวมกันหลายขนาน การใช้ยาหลายๆ ชนิดรักษาโรคในเวลาเดียวกัน บางครั้งยาอาจ เสริมฤทธิ์กันเองท่าให้ยาออกฤทธิ์เกินขนาด จนเกิดอาการพิษถึงตายได้ในทางตรงกันข้าม ยาอาจด้าน ฤทธิ์กันเอง ท่าให้ไม้ได้ผลต่อการรักษาและเกิดดื้อยา ตัวอย่างเช่น การใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกันระหว่าง เพนิซิลลินกับเตตราชัยคลีน นอกจากนี้ยาบางอย่างอาจเกิดผลเสียล้าใช้ร่วมกับเครื่องดื่ม สุรา บุหรี่ และ อาหารบางประเภท ผู้ที่,ใช้ยากดประสาทเป็นประจำ ถ้าดื่มสุราด้วยจะยิ่งท่าให้ฤทธิ์การกดประสาทมากขึ้น อาจถึงขึ้นสลบและตายได้
2. คุณภาพยาแม้ผู้ใช้ยาจะมีความรู้ในการใช้ยาได้อย่างถูกขนาด ถูกวิธี และถูกเวลาแล้วก็ตาม แต่ถ้ายาที่ใช้ไม่มี คุณภาพในการรักษาจะก่อให้เกิดอันตรายได้ สาเหตุที่ท่าให้ยาไม่มีคุณภาพ มีดังนี้
2.1 การเก็บ ยาที่ผลิตได้มาตรฐาน แต่เก็บรักษาไม่ถูกวิธีจะทำให้ยาเสื่อมคุณภาพ เกิดผลเสีย ต่อผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น วัคซีน ต้องเก็บในตู้เย็น ถ้าเก็บในตู้ธรรมดายาจะเสื่อมคุณภาพ แอสไพรินล้าถูกความชื้น แสง ความร้อน จะท่าให้เปลี่ยนสภาพเป็นกรดซาลิซัยลิก ซึ่งไม่ได้ผลในการรักษาแล้วยังกัดกระเพาะทะลุ อีกด้วย
2.2 การผลิต ยาที่ผลิตแล้วมีคุณภาพตํ่ากว่ามาตรฐาน อาจเกิดขึ้นเนื่องจากหลายสาเหตุ คือ ใช้-วัตถุดิบในการผลิตที่มีคุณภาพตํ่า และมีวัตถุลื่นปนปลอม กระบวนการการผลิตไม่ถูกต้อง เช่น อบยาไม่แห้ง ท่าให้ได้ยาที่เสียเร็ว ขึ้นราง่าย นอกจากนี้พบว่า ยาหลายชนิดมีการปะปนของเชื้อจุลินทรีย์ ตำรับยาบางชนิดที่ใช้ไม่เหมาะสม เป็นสูตรผสมยาหลาย ๆ ตัวในตำรับเดียว ท่าให้ยาดีกัน เช่น คาโอลิน จะดูดซึมนีโอมัยชินไม่ให้ออกฤทธิ์ เป็นด้น
3.พยาธิสภาพของผู้ใช้ยา และองค์ประกอบทางพันธุกรรมผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับดับหรือไต จะมีความสามารถในการขับถ่ายยาลดลง จึงต้องระวังการใช้ ยามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้องค์ประกอบทางกรรมพันธุจะท่าให้ความไวในการตอบสนองต่อยาของบุคคลแตกต่างกัน ตัวอย่าง คนนิโกร ขาดเอนไซม์ที่จะทำลายยาไอโซนอาซิค ถ้ารับประทานยานี้ในขนาดเท่ากับ คนเชื้อชาติอื่น จะแสดงอาการประสาทอักเสบ นอนไม่หลับ เป็นต้น
ตังนั้น ผู้ใช้ยาควรศึกษาเรื่องการใช้ยาให้เข้าใจอย่างแท้จริง และใช้ยาอย่างระมัดระวังเท่าที่จำเป็น จริง ๆ เท่านั้น โดยอยู่ในความดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างใกล้ชิด จะช่วยขจัดสาเหตุที่ท่าให้เกิด อันตรายจากการใช้ยาได้อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ยาควรตระหนักถึงโทษหรืออันตรายจากการใช้ยาที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังต่อไปนี้
1. การแพ้ยา (Drug Allergy หรอ Drug Hypersensitivity)
เป็นภาวะที่รงกายเคยไต้รับยาหรือสารที่มีสูตรคล้ายคลึงกับยานั้นมาก่อนแล้วยาหรือสารนั้นจะ กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นเรียกว่า “สิ่งต่อต้าน” (Antibody) โดยใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน เมื่อ ไต้รับยาหรือสารนั้นอีก จะเกิดปฏิกิริยาไต้สารประกอบเชิงซ้อนเป็น “สิ่งเร่งเร้า” (Antigen) ให้ร่างกาย หลั่งสารบางอย่างที่สำคัญ เช่น ฮีสตามีน (Histamine) ท่าให้เกิดอาการแพ้ขึ้น ตัวอย่าง ผู้ที่เคยแพ้ยา เพนิซิลลิน เมื่อรับประทานเพนิซิลลินซ'ไอีกครั้งหนึ่ง จะถูกเปลี่ยนแปลงในร่างกายเป็นกรดเพนิซิลเลนิก ซึ่งท่าหน้าที่เป็น “สิ่งเร่งเร้า” ให้ร่างกายหลั่งฮีสตามีน ท่าให้เกิดอาการแพ้ เป็นต้น
การแพ้ยาจะมีตั้งแต่อาการเล็กน้อย ปานกลาง จนรุนแรงมาก ถึงขึ้นเสียชีวิต ทั้งนี้'ขึ้นอยู่กับ องค์ประกอบต่อไปนี้
1.ชนิดของยา ยาที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ที่พบอยู่เสมอ ได้แก่ เพนิซิลลิน แอสไพริน ซัลโฟนาค์ เซรุ่มแล้บาดทะยัก ยาชา โปรเคน น้ำเกลือ และเลือด เป็นต้น
2.วิธีการใช้ยา การแพ้ยาเกิดขึ้นไต้จากการใช้ยาทุกแบบ แต่การรับประทานเป็นวิธีที่ท่าให้แพ้ น้อยที่สุด ขณะที่การสัมผัสหรือการใช้ยาทาจะท่าให้เกิดอาการแพ้ไต้ง่ายที่สุด ส่วนการฉีด เป็นวิธีการให้ ยาที่ท่าให้เกิดการแพ้อย่างรวดเร็ว รุนแรง และแก้ไขไต้ยาก
3.พันธุกรรม การแพ้ยาเป็นลักษณะเฉพาะของบุคคล คนที่มีความไวในการถูกกระตุ้นให้แพ้ยา หรือคนที่มีประวัติเคยเป็นโรคภูมิแพ้ เช่น หืด หวัดเรื้อรัง ลมพิษผื่นกัน จะมีโอกาสแพ้ยามากกว่าคนทั่วไป
4.การได้รับการกระตุ้นมาก่อน ผู้ป่วยเคยไต้รับยาหรือสารกระตุ้นมาก่อนแล้วในอดีต โดยจำ ไม่ได้หรือไม่รู้ตัว เมื่อได้รับยาหรือสารนั้นอีกครั้ง จึงเกิดอาการแพ้ เช่นในรายที่แพ้เพนิซิลลินเป็นครั้งแรก โดยมีประวัติว่าไม่เคยได้รับยาที่แพ้มาก่อนเลย แท้ที่จริงแล้วผู้ป่วยเคยไต้รับสารเพนิซิลลินมาก่อนแล้ว ในอดีต แต่อาจจำไม่ได้หรือไว เพราะผู้ป่วยใช้ยาที่ไม่ทราบว,ามีเพนิซิลลินอยู่ด้วย หรืออาจ รับประทานอาหารบางชนิดที่มีเชื้อเพนิซิลเลียมอยู่ด้วย
การป้องกันและการแก้ไข การป้องกันมิให้เกิดอาการแพ้ยาเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะล้าอาการแพ้ รุนแรงมาก อาจแก้ไขไม่ทันการ โดยทั่วไปการป้องกันอาจท่าได้ดังนี้
1.งดใช้ยา ผู้ป่วยควรสังเกต จดจำ และงดใช้ยาที่เคยแพ้มาก่อน นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการใช้ ยาที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน หรือมีสูตรโครงสร้างใกล้เคียงกันด้วย
2.ควรระมัดระวังการใช้ยาที่มักทำให้เกิดอาการแพ้ง่ายบ่อย ๆ เช่น เพนิซิลกิน ซัลโฟนาไมด์ หรือ ซาลิซัยเลท เป็นต้น โดยเฉพาะรายที่มีประวัติหอบหืด หวัดเรื้อรัง ลมพิษ ผื่นคัน แพ้สารต่าง ๆ หรือแพ้ยา มาแล้ว ควรบอกรายละเอียดให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนใช้ยา
3.กรณีที่จำเป็นจะต้องใช้ยาที่เคยแพ้ จะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยแพทย์จะ ใช้ยาชนิดที่แพ้ครั้งละห้อย ๆ และให้ยาแก้แพ้พร้อมคันไปด้วยเป็นระยะเวลาหนึ่ง จนกว่าร่างกายจะปรับ สภาพไต้จนไม,แพ้แล้ว จึงจะให้ยานั้นในขนาดปกติไต้
การแก้ไขอาการแพ้ยา ควรพิจารณาตามสภาพของการแพ้ ในกรณีที่มีอาการแพ้เพียงเล็กห้อย เช่น ผื่นคัน คัดจมูก ควรหยุดใช้ยา ซึ่งจะช่วยให้อาการต่างๆ ลดลงและหมดไปภายใน 2-3 ชั่วโมง สำหรับรายที่ มีอาการผื่นคันมากอาจจะให้ยาแก้แพ้ (Antihistamine) ร่วมด้วย ล้ามีอาการแพ้รุนแรงมากและเกิดขึ้นควร ไปพบแพทย์ทันทีทันใด ควรลดการดูดซึมของยา โดยทำให้อาเจียนหรือให้กินผงถ่าน (Activated Charcoal) เพื่อช่วยดูดซึมยา นอกจากนี้ควรช่วยการหายใจโดยให้อะดรีนาลินเพื่อช่วยขยายหลอดลมและ เพิ่มความดันโลหิต ล้ามีอาการอักเสบ อาจใช้ยาแก้อักเสบประเภทสเตอรอยด์ช่วยบ้าง
2.ผลข้างเคียงของยา (Side Effect)
หมายถึง ผลหรืออาการอื่น ๆ ของยาอันเกิดขึ้นนอกเหนือจากผลที่ต้องการใช้ในการรักษา ดังเช่น ยาแก้แพ้มักจะทำให้เกิดอาการง่วงซึมเป็นผลช้างเคียงของยา หรือเตตราชัยคลีนใช้คับเด็ก ทำให้ เกิดผลช้างเคียง คือพีนเหลืองอย่างถาวร เป็นต้น ในกรณีที่เกิดผลช้างเคียงของยาขึ้น ควรหยุดยาและ หลีกเลี่ยงการใช้ยานั้นทันที
3.การดื้อยา (Drug Resistance)
พบมากที่สุด มักเนื่องมาจากการใช้ยาปฏิชีวนะไม,ตรงคับชนิดของเชื้อโรคหรือใช้ไม,ถูกขนาด หรือใช้ในระยะเวลาที่ไม,เพียงพอต่อการทำลายเชื้อโรค ซึ่งเรียกว่า การดื้อยา เช่น การดื้อต่อ ยาเตตราชัยคลีน ยาคลอแรมเฟนิคอล เป็นต้น
4.การติดยา (Drug Dependence)
ยาบางชนิดล้าใช้ไม,ถูกต้องหรือใช้ต่อเนื่องคันไปชั่วระยะเวลาหนึ่งจะทำให้ติดยาขนานนั้นไต้ เช่น‘ผื่น มอร้พีน บาร์บิทูเรด แอมเฟตามีน ยากล่อมประสาท เป็นต้น
5.พิษของยา (Drug Toxicity)
มักเกิดขึ้นเนื่องจากการใช้ยาเกิดขนาด สำหรับพิษหรือผลเสียของยาอาจกล่าวโดยสังเขป ไต้ดังนี้
1.ยาบางชนิดรับประทานแล้วเกิดอาการไข้ ทำให้เช้าใจผิดว่าไข้เกิดจากโรค ในรายเช่นนี้เมื่อ หยุดยาอาการไข้จะหายไปเอง
2.ความผิดปกติของเม็ดเลือดและส่วนประกอบของเลือด ยาบางอย่าง เช่น ยาเฟนิลบิวตาโซน คลอแรมเฟนิคอล และยารักษาโรคมะเร็ง จะยับยั้งการทำงานของไขกระลูก ทำให้เม็ดเลือดขาวและ
เม็ดเลือดแดงลดจำนวนลงกว่าระดับปกติ เป็นผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง ร่างกายอ่อนแอ ติดเชื้อไต้ง่ายและ รุนแรง ยาบางขนานที่ใช้รักษามาเลเรีย เช่น ควินิน พามาควิน และไพรมาควีน จะทำให้เม็ดเลือดแดง สลายตัวได้ง่ายกว่าปกติ นอกจากนี้ยังพบว่ายาอะมิโนพัยรินและไดพัยโรน มีผลต่อส่วนประกอบของ เลือดอย่างมาก
3.ความเป็นพิษต่อตับ ถึงแม้ตับจะเป็นอวัยวะที่มีสมรรถภาพสูงสุดในการกำจัดยา แด,มันก็ถูก กับตัวยาในความเข้มข้นที่สูง จึงอาจเป็นอันตรายจากยาด้วยเหตุนี้ก็ได้ ยาบางขนานที่อาจเป็นอันตรายต่อ เซลล์ของตับโดยตรง เช่น ยาจำพวก Chlorinated hydrocarbons ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะจำพวก
โพลิมิก1ชิน และวิตามินเอ ในขนานสูงมากๆ อาจทำให้ตับหย่อนสมรรถภาพได้
4.ความเป็นพิษต่อไต ไตเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในการขับถ่ายยาออกจากร่างกาย ยาจำพวก ซัลฟาบางขนานอาจตกตะกอนในไต ทำให้ไตอักเสบเวลารับประทานยาพวกนี้จึงควรดื่มนี้ามาก ๆ นอกจากนี้ยังมียาที่อาจทำให้เกิดพิษโดยตรงต่อไตได้ เช่น ยานีโอมัยชิน เฟนาเซดิน กรดบอริก ยาจำพวก เพนิชิลสิน หรือการให้วิตามินดีในขนาดสูงมากและเป็นเวลานาน อาจก่อให้เกิดพิษต่อไต ไตหย่อน สมรรถภาพ จนถึงขั้นเสียชีวิตได้
5.ความเป็นพิษต่อเสันประสาทของหู ยาบางชนิดเป็นพิษต่อเสันประสาทของหู ทำให้อาการ หูอื้อ หูตึง และหูหนวกได้ เช่น ยาสเตร็ปโตมัยชิน นีโอมัย1ชิน กานามัยชิน ควินิน และยาจำพวก
ซาลิซัยเลท เป็นด้น
6.ความเป็นพิษต่อประสาทส่วนกลาง ยาบางขนานทำให้มีอาการทางสมอง เช่น การใช้ แอมเฟตามีน ทำให้สมองถูกกระตุ้นจนเกิดควรจนนอนไม,หลับ ปวดหัว กระวนกระวาย อยู่ไม,สุข และ ชักได้ส่วนยากดประสาทจำพวกบาร์บิทูเรต ถ้าใช้ไปนาน ๆ จะทำให้เกิดอาการง่วง ซึมเศร้า จนถึงขั้น อยากฆ่าตัวตาย
7.ความเป็นพิษต่อระบบหัวใจและการไหลเวียนเลือด มักเกิดจากยากระตุ้นหัวใจ ยาแก้หอบหืด ไปทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
8.ความเป็นพิษต่อกระเพาะอาหาร ยาบางชนิด เช่น แอสไพริน เฟนิลบิวตาโซน เพรดโซโลน อินโดเมธาชิน ถ้ารับประทานตอนท้องว่างและรับประทานบ่อยๆ จะทำให้กระเพาะอาหารอักเสบและเป็น แผลได้
9.ความเป็นพิษต่อทารกในครรภ์ มียาบางชนิดที่แม่ไม่ควรรับประทานระหว่างตั้งครรภ์ เช่น ยาธาลิโดไมล์ช่วยให้นอนหลับและสงบประสาท ยาฟโนบาร์บิตาลใช้รักษาโรคลมชัก ยาไดอะซีแพมใช้ กล่อมประสาท และยาแก้คลื่นไสัอาเจียน เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อตัวมดลูกและต่อทารกในครรภ์ เป็นผลให้เด็กที่คลอดออกมามีความพิการ เช่น บางรายอาจมือคุด ขาคุด จมูกโหว่ เพดานและริมฟ
ปากแหว่ง หรือบางคนศีรษะอาจยุบหายไปเป็นบางส่วน ตังนั้น แม่ในระหว่างตั้งครรภ์ควรระมัดระวังการ ใช้ยาเป็นอย่างยิ่ง
การใช้ยาผิดและการติดยา (Drug Abuse and Drug Dependence)
กา รใช้ ยาผิด หมายถึง การใช้ยาที่ไม,ตรงกับโรค บุคคล เวลา วิธี และขนาด ตลอดจน จุดประสงค์ของการใช้ยานั้นในการรักษาโรค เช่น การใช้ยาบาร์บิทูเรต (เหล้าแห้ง) เพื่อให้นอนหลับสบาย โดยอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ถือว่าเป็นการใช้ยาถูกต้อง แต่ล้าใช้ยาบาร์บิทูเรต (เหล้าแห้ง) จำนวนเดิม เพื่อให้เคลิบเคลิ้มเป็นสุข (Euphoria) ถือว่าเป็นการใช้ยาผิด
การติดยา หมายถึง การใช้ยาติดต่อกันไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วอวัยวะของร่างกายโดยเฉพาะ อย่างยิ่งระบบประสาท ไต้ยอมรับยาขนานนั้นเช้าไว้เป็นสิ่งหนึ่งที่จำเป็น สำหรับเมตาบอลิซึมของอวัยวะนั้น ๆ ซึ่งล้าหากหยุดยาหรือไต้รับยาไม,เพียงพอจะเกิดอาการขาดยา หรืออาการถอนยา (Abstinence or Withdrawal Syndrome) ซึ่งแบ่งไต้เป็นอาการทางกาย และอาการทางจิตใจ สาเหตุที่ทำให้เกิดการใช้ยาผิดหรือการติดยา อาจเนื่องมาจาก
1. ความเชื่อที่ว่ายานั้นสามารถแก้โรคหรือปัญหาต่างๆ ไต้
2. สามารถซื้อยาได้ง่ายจากแหล่งต่างๆ
3. มีความพึงพอใจในฤทธิของยาที่ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มเป็นสุข
4. การทำตามอย่างเพื่อน เพื่อให้เช้ากับกลุ่มไต้ หรือเพื่อให้รู้สึกว่าตนเองทันสมัย
5. ความเชื่อที่ว่ายานั้นช่วยให้มีความสามารถและสดิปีญญาดีขึ้น
6. ความไม่พอใจในสภาพหรือสังคมที่เป็นอยู่ หรือความรู้สึกต่อต้านวัฒนธรรม
7. การหลงเชื่อคำโฆษณาสรรพคุณของยานั้น
การใช้ยาผิดแบ่งตามลักษณะการใช้โดยสังเขปไต้เป็น 2 ประการ คือ
1.ใช้ผิดทาง ไม่เป็นไปเพื่อการรักษาโรค เช่น ใช้ยาปฏิชีวนะเสมือนหนึ่งเป็นการลดไข้ ชาวนา ใช้ขี้ผึ้งเพนิซิลลินทาแทน'วาสลิน เพื่อกันผิวแตก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้จนถึงแก,ชีวิตไต้ โดยทั่วไป แพทย์จะให้นั้าเกลือและยาบำรุงเช้าเสันต่าง ๆ เฉพาะผู้ที่ปวยเท่านั้น แต่ผู้ที่มีสุขภาพดีกลับนำไปใช้อย่าง กว้างขวาง ซึ่งนอกจากจะไม,ให้ประโยชน์แล้วยังเป็นอันตรายถึงชีวิตไต้
2. ใช้พรํ่าเพรื่อ เป็นระยะเวลานานๆ จนติดยา เช่น การใช้ยาลดไข้แก้ปวด ซึ่งมีส่วนผสมของ แอสไพริน และเฟนาเซดิน เพื่อรักษาอาการปวดเมื่อยหรือทำให้จิตใจเป็นสุข ล้าใช้ติดต่อกันนาน ๆ ทำให้ ติดยาและสุขภาพทรุดโทรม นอกจากนี้ การใช้ยานอนหลับ ยาระงับประสาท ยากล่อมประสาท กัญชา โคเคน แอมแฟตามีน โบรไมค์ การสูดกาวสารทำให้เกิดประสาทหลอนติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้ติดยาได้
ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพร
เมื่อมีความจำเป็น หรือความประสงค์ที่จะใช้สมุนไพรไม่ว่าจะเพื่อประสงค์อย่างไรก็ตาม ให้ระถึกอยู่เสมอว่า ล้าอยากมีสุขภาพที่ดี หายจากการเจ็บป่วย สิ่งที่จะนำเช้าไปสู่ในร่างกายเราก็ควรเป็น สิ่งที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย อย่าให้ความเชื่อแบบผิดๆ มาส่งผลเสียกับร่างกายเพิ่มขึ้น หลายคนอาจ เคยไต้ยินข่าวเกี่ยวกับหมอน้อย ซึ่งเป็นเด็กอายุเพียง 3 ปี 7 เดือน ที่เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อปี 2529 ที่สามารถรักษาโรคไต้ทุกชนิดใช้เพียงกิ่งไม้ใบไม้อะไรก็ไต้แล้วแต่จะชี้ไป คนเอาไปต้มรับประทานด้วย
ความเชื่อ ซึ่งความจริงการเลือกใช้สมุนไพรจะต้องมีวิธีการ และความรูที่ถูกต้อง การใช้จึงจะเกิด ประโยชน์
ข้อควรระวังในการใช้อย่างง่ายๆ และเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความปลอดภัยใน การใช้สมุนไพร คือ
-ใช้ให้ลูกต้น สมุนไพรบางชนิดอาจมีลักษณะคล้ายกัน หรือมีชื่อพ้องกัน การใช้ผิดต้น นอกจากไม่เกิดผลในการรักษาแล้วยังอาจเกิดพิษขึ้นได้
-ใช้ให้ลูกส่วน ในแต่ละส่วนของพืชสมุนไพร เช่น ใบ ราก ดอก อาจมีสรรพคุณไม่เหมือนกัน และบางส่วนอาจมีพิษ เช่น เมล็ดของมะกลํ่าตาหนูเพียงเม็ดเดียว ล้าเคี้ยวรับประทานอาจตายไต้ ในขณะที่ ส่วนของใบไม,เป็นพิษ
-ใช้ให้ลูกขนาด ปริมาณการใช้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดพิษโดยเฉพาะ ล้ามีการใช้ในปริมาณ ที่มากเกินไป หรือล้าน้อยเกินไปก็ไม,เกิดผลในการรักษา
-ใช้ให้ลูกโรค สมุนไพรแด,ละชนิดมีสรรพคุณไม,เหมือนกัน เป็นโรคอะไรควรใช้สมุนไพรที่มี สรรพคุณรักษาโรคนั้นๆ และสิ่งที่ควรคำนึงคือ อาการเจ็บป่วย บางอย่างมีความรุนแรงถึงชีวิตไต้ ล้าไม่ไต้ รับการรักษาบันท,วงทีในกรณีเช่นนี้ไม,ควรใช้ยาสมุนไพร ควรรับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะ เหมาะสมกว่า
การรับประทานยาสมุนไพรจากที่เตรียมเอง ปีญหาที่พบบ่อยคือ ไม่ทราบขนาดการใช้ที่ เหมาะสมว่าจะใช้ปริมาณเท่าใดดี ข้อแนะนำคือ เริ่มใช้แต่น้อยก่อนแล้วค่อยปรับปริมาณเพิ่มขึ้นตามความ เหมาะสมทีหลัง (มีศัพท์แบบพื้นบ้านว่า ตามกำลัง) ไม่ควรรับประทานยาตามคนอื่นเพราะอาจทำให้รับยา มากเกินควร เพราะแด,ละคนจะตอบสนองต่อยาไม,เหมือนกัน สำหรับยาที่ซื้อจากร้านควรอ่านฉลาก วิธีการใช้อย่างละเอียดและให้เช้าใจก่อนใช้ทุกครั้ง
การหมดอายุของยาจากสมุนไพรเช่นเดียวกันกับยาแผนปีจจุบัน โดยทั่วไปสมุนไพรเมื่อเก็บ ไว้นานๆ ย่อมมีการผุพัง เกิดความชื้น เชื้อรา หรือมีแมลงวันมากัดกิน ทำให้อยู่ในสภาพที่ไม,เหมาะสมที่ จะนำไปใช้ และมีการเสื่อมสภาพลงแด,การจะกำหนดอายุที่แน่นอนนั้นทำไต้ยากจึงควรนับตั้งแต่วันผลิต ยาสมุนไพรหรือยาจากสมุนไพรไม,ควรใช้เมื่อมีอายุเกิน 2 ปี ยกเว้นมีการผลิตหรือเก็บบรรจุที่ดี และล้า พบว่ามีเชื้อรา มีกลิ่นหรือสีเปลี่ยนไปจากเติมก็ไม่ควรใช้ ข้อสังเกตในการเสือกซื้อสมุนไพร และยาแผนโบราณ
ดังนั้น ยาแต่ละชนิดทางกฎหมายมีช้อกำหนดที่แตกต่างกัน ในการเลือกชื้อหรือเลือกใช้จึงต้อง รู้ความหมาย และข้อกำหนดทางกฎหมายเสียก่อน จึงจะรู้ว่ายาชนิดใด จะมีคุณสมบัติอย่างไร มีวิธีการใน การสังเกตอย่างไร เพื่อที่จะไต้บอกไต้ว่ายานั้น ควรที่จะใช้หรือน่าที่จะมีความปลอดภัยต่อการใช้ สิ่งที่ น่าจะรู้หรือทำความเช้าใจ คือ ความหมายของยาชนิดต่าง ๆ ดังนี้
ยาสมุนไพร คือ ยาที่ไต้จากพฤกษชาติ สัตว์ หรือแร,ธาตุ ซึ่งมิไต้ผสมปรุงหรือแปรสภาพ
ยาแผนโบราณ คือ ยาที่มุ่งหมายใช้ในการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ ซึ่งอยู่ในตำรา แผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศ หรือยาที่ได้รับอนุญาตขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณ
หรือให้เช้าใจง่ายๆ คือ ยาที่ได้จากสมุนไพรมาประกอบเป็นตำรับตามที่ระบุไว้ในตำรายาหรือ ที่กำหนดให้เป็นยาแผนโบราณ ในการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณนั้นกำหนดว่า ให้ใช้วิธีที่สืบทอด กันมาแต่โบราณโดยไม่ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เช่น การนำสมุนไพรมาต้มรับประทาน หรือทำ เป็นผงละลายนั้ารับประทาน แต่ในบีจจุบันมีช้อกำหนดเพิ่มเติมให้ยาแผนโบราณมีการพัฒนารูปแบบให้ สะดวกและบันสมัยขึ้นเช่นเดียวกับยาแผนบีจจุบัน เช่น ทำเป็นเม็ด เม็ดเคลือบนั้าตาลหรือแคปซูล โดยมี ข้อสังเกตว่าที่แคปซูลจะต้องระบุว่า ยาแผนโบราณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น