การใช้ยาที่ถูกต้องมีหลักการดังนี้
1.อ่านฉลากยาให้ละเอียดก่อนการใช้ทุกครั้ง ซึ่งโดยปกติยาทุกขนาดจะมีฉลากบอกชื่อยา วิธีการใช้ยา ข้อห้ามในการใช้ยา และรายละเอียดอื่น ๆ ไว้ด้วยเสมอ จึงควรอ่านให้ละเอียดและปฏิบัติตาม คำแนะนำอย่างเคร่งครัด
2.ใช้ยาให้ลูกชนิดและประเภทของยา ซึ่งถ้าผู้ใช้ยาหยิบยาไม่ถูกต้องจะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้และ รักษาโรคไม่หาย เนื่องจากยาบางชนิดจะมีชื่อ สี รูปร่าง หรือภาชนะบรรจุคล้ายกัน แต่ตัวยา สรรพคุณยาที่ บรรจุภายในจะต่างกัน
3.ใช้ยาให้ลูกขนาด เพราะการใช้ยาแด,ละชนิดในขนาดต่าง ๆ กัน จะมีผลในการรักษาโรคได้ ถ้าได้รับขนาดของยาน้อยกว่าที่กำหนดหรือได้รับขนาดของยาเพียงครึ่งหนึ่ง อาจทำให้การรักษาโรคนั้น ไม่ได้ผลและเชื้อโรคอาจดื้อยาได้ แต่หากได้รับยาเกินขนาดอาจเป็นกันตรายต่อร่างกายได้ ตังนั้น จึงต้อง ใช้ยาให้ถูกต้องตามขนาดของยาแด,ละชนิดเช่นยาแก้ปวดลดไข้ต้องใช้ครั้งละ 1-2เม็ดทุกๆ4-6 ชั่วโมง เป็นด้น
4.ใช้ยาให้ลูกเวลา เนื่องจากยาบางชนิดต้องรับประทานก่อนอาหาร เช่น ยาปฏิชีวนะพวก เพนนิซิลลิน เพราะยาเหล่านี้จะดูดซึมได้ดีในขณะท้องว่าง ถ้าเรารับประทานหลังอาหาร ยาจะถูกดูดซึมได้ ไม่ดี ซึ่งจะมีผลต่อการรักษาโรค ยาบางชนิดต้องรับประทานหลังอาหาร บางชนิดรับประทานก่อนอาหาร เพราะยาบางประเภทเมื่อรับประทานแล้วจะมีอาการง่วงซึม ร่างกายต้องการพักผ่อน แพทย์จึงแนะนำให้ รับประทานก่อนนอนไม่ควรรับประทานในขณะปฏิบัติงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล หรือขณะขับขี่รถยนต์ เพราะอาจจะทำให้เกิดกันตรายได้
-ยาก่อนอาหาร ควรรับประทานก่อนอาหารประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง
-ยาหลังอาหาร ควรรับประทานหลังอาหารทันที หรือไม่ควรจะนานเกิน 15 นาที หลังอาหาร
-ยาก่อนนอน ควรรับประทานก่อนเช้านอน เพื่อให้ร่างกายได้รับการพักผ่อน
5.ใช้ยาให้ลูกวิธี เช่น ยาอมเป็นยาที่ด้องการผลในการออกฤทธิที่ปาก จึงต้องอมให้ละลายช้า ๆ ไปเรื่อยๆ ถ้าเรากลืนลงไปพร้อมอาหารในกระเพาะ ยาจะออกฤทธิผดที่ ซึ่งไม่เป็นที่ที่เราต้องการให้รักษา การรักษานั้นจะไม่ได้ผลยาทาภายนอกชนิดอื่นๆก็เช่นกันเป็นยาทาภายนอกร่างกายถ้าเรานำไปทาใน ปากหรือนำไปกินจะไม่ได้ผลและอาจให้โทษต่อร่างกายได้
6.ใช้ยาให้ลูกกับบุคคล แพทย์จะจ่ายยาตรงตามโรคของแด,ละบุคคลและจะเขียนหรือพิมพ์ชื่อ คนไข้ไว้หน้าซองยาทุกครั้งตังนั้นจึงไม่ควรนำไปแบ่งให้ผู้อื่นใช้เพราะอาจไม่ตรงกับโรคและมีผลเสียได้ เนื่องจากยาบางชนิดห้ามใช้ในเด็ก คนชรา และหญิงมีครรภ์ ยาบางชนิดมีข้อห้ามใช้ในบุคคลที่ป่วยเป็น โรคบางอย่าง ซึ่งถ้านำไปใช้จะมีผลช้างเคียงและอาจเป็นกันตราต่อผู้ใช้ยาได้
7.ไม่ควรใช้ยาที่หมดอายุหรือเสื่อมคุณภาพ ซึ่งเราอาจสังเกตได้จากลักษณะการเปลี่ยนแปลง ภายนอกของยา เช่น สี กลิ่น รส และลักษณะที่ผิดปกติไปจากเดิม ไม่ควรใช้ยานั้น เพราะเสื่อมคุณภาพ แล้วแต่ถึงแม้ว่าลักษณะภายนอกของยายังไม่เปลี่ยน เราก็ควรพิจารณาดูวันที่หมดอายุก่อนใช้ ล้าเป็นยาที่ หมดอายุแล้วควรนำไปทิ้งทันที
ข้อควรปฏิบัติในการใช้ยา
1.ยานำทุกขนาดควรเขย่าขวดก่อนรินยา เพื่อให้ตัวยาที่ตกตะกอนกระจายเช้าเป็นเนื้อเดียวกัน
ได้ดี
2.ยาบางชนิดยังมีข้อกำหนดไว้ไม่ให้ใช้ร่วมกับอาหารบางชนิด เช่น ห้ามดื่มพร้อมนมหรือน้ำชา กาแฟ เนื่องจากมีฤทธิ์ด้านกัน ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายหรือไม่มีผลต่อการรักษาโรคได้
3.ไม่ควรนำตัวอย่างเม็ดยา ขวดยา ซองยา หรือหลอดยาไปหาซื้อมาใช้หรือรับประทานเอง หรือ ใช้ยาตามกำโฆษณาสรรพคุณยาจากผู้ขายหรือผู้ผลิต
4.เมื่อใช้ยาแล้วควรปิดซองยาให้สนิท ป้องกันยาขึ้น และไม่ควรเก็บยาในที่แสงแดดส่องถึง หรือ เก็บในที่อับขึ้นหรือร้อนเกินไป เพราะจะทำให้ยาเสื่อมคุณภาพ
5.เมื่อลืมรับประทานยามื้อใดมื้อหนึ่ง ห้ามนำยาไปรับประทานรวมกับมื้อต่อไป เพราะจะทำให้ ได้รับยาเกินขนาดได้ให้รับประทานยาตามขนาดปกติในแต่ละมื้อตามเติม
6.หากเกิดอาการแพ้ยาหรือใช้ยาผิดขนาด เช่น มีอาการคลื่นไห้ อาเจียน บวมตามหน้าตาและ ร่างกาย มีผื่นขึ้นหรือแน่นหน้าอก หายใจไม่,ออก ให้หยุดยาทันทีและรีบไปพบแพทย์โดยด่วน พร้อมทิ้ง นำยาที่รับประทานไปให้แพทย์วินิจฉัยด้วย
7.ไม่ควรเก็บยารักษาโรคของบุคคลในครอบครัวปนกับยาอื่นๆ ที่ใช้กับสัตว์หรือพืช เช่น ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีลื่น ๆ เพราะอาจเกิดการหยิบยาผิดได้ง่าย
8.ไม่ควรเก็บยารักษาโรคไว้ใกล้มือเด็กหรือในที่ที่เด็กเอื้อมถึง เพราะเด็กอาจหยิบยาไปใส่ปาก ด้วยความไม่ และอาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้
9.ควรชื้อยาสามัญประจำบ้านไว้ใช้เองในครอบครัว เพื่อใช้รักษาโรคทั่ว ๆ ไปที่ไม่,ร้ายแรงใน เบื้องด้นเนื่องจากมีราคาถูก ปลอดภัย และที่ขวดยาหรือซองยาจะมีกำอธิบายสรรพคุณและวิธีการใช้ง่าย ๆ ไว้ทุกชนิด แต่ล้าหากเมื่อใช้ยาสามัญประจำบ้านแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น