วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

1.2 การทำงานของระบบขับถ่าย

ระบบขับถ่าย
การขับถ่ายเป็นกระบวนการกำจัดของเสียที่ร่างกายไม,ต้องการออกมาภายนอกร่างกาย เรียกว่า การขับถ่ายของเสีย อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดของเสีย ได้แก่ ปอด ผิวหนัง กระเพาะปัสสาวะ และ ลำไล้ใหญ่ เป็นต้น
ปอด เป็นอวัยวะหนึ่งในร่างกายที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในสัตว์มีกระดูกสันหลัง ใช้ในการหายใจ หน้าที่หลักของปอดก็คือการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบเลือดในร่างกาย และ แลกเปลี่ยนเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากระบบเลือดออกสู่สิ่งแวดล้อม ทำงานโดยการประกอบ กันขึ้นของเซลล์เป็นจำนวนล้านเซลล์ ซึ่งเซลล์ที่ว,านี้มีลักษณะเล็กและบางเรียงตัวประกอบกันเป็นถุง เหมือนลูกโป่ง ซึ่งในถุงลูกโป่งนี้เองที่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซต่าง ๆ เกิดขึ้น นอกจากการทำงานแลกเปลี่ยน ก๊าซแล้วปอดยังทำหน้าที่อื่น ๆ อีก
กำว่าปอดในภาษาอังกฤษ ใช้กำว่า lung มนุษย์มีปอดอยู่ในทรวงอก มีสองข้าง คือ ขวาและซ้าย ปอดมีลักษณะนิ่ม ร่างกายจึงมีกระลูกซี่โครงคอยปกป้องปอดไว้อีกชั้นหนึ่ง ปอดแด,ละข้างจะมีถุงบาง ๆ 2 ชั้นหุ้มอยู่ เรียกว่า เยื่อหุ้มปอด เยื่อหุ้มปอดที่เป็นถุงบาง ๆ 2 ชั้นนี้เรียกว่า เยื่อหุ้มปอดชั้นใน และเยื่อหุ้ม ปอดชั้นนอก เยื่อหุ้มปอดชั้นในจะแนบติดไปกับผิวของปอด ส่วนเยื่อหุ้มปอดชั้นนอกจะแนบติดไปกับ ช่องทรวงอกระหว่างเยื่อหุ้มปอด 2 ชั้นบาง ๆ นี้จะมีช่องว่าง เรียกว่า ช่องเยื่อหุ้ม ในช่องเยื่อหุ้มปอดจะมี ของเหลวคอยหล่ออื่นอยู่ เรียกว่า ของเหลวเยื่อหุ้มปอด ของเหลวนี้จะช่วยให้เยื่อหุ้มปอดแด,ละชั้นสไลด์ ไปมาระหว่างกันไต้โดยไม,เสียดสีกัน และของเหลวเยื่อหุ้มปอดก็ยังช่วยยึดเยื่อหุ้มปอดทั้งสองชั้นไว้ไม,ให้ แยกจากกันโดยง่าย ปอดข้างซ้ายทั้นมีขนาดเล็กกว่าปอดข้างขวา เพราะปอดข้างซ้ายต้องเว้นที่เอาไว้ให้ หัวใจอยู่ในทรวงอกด้วย
การทำงานของปอด
การแลกเปลี่ยนก๊าซและการใช้ออกซิเจน เมื่อเราหายใจเข้า อากาศภายนอกจะเข้าสู่อวัยวะของ ระบบหายใจไปยังถุงลมในปอดที่ผนังของถุงลมมีหลอดเลือดแดงฝอยติดอยู่ ดังนั้น อากาศจึงมีโอกาส ใกล้ชิดกับเม็ดเลือดแดงมาก ออกซิเจนก็จะผ่านผนังนี้เข้าสู่เม็ดเลือดแดง และคาร์บอนไดออกไซด์ก็จะ ออกจากเม็ดเลือดผ่านผนังออกมาสู่ถุงลม ปกติในอากาศจะมีออกซิเจนอยู่ร้อยละ 20 แด,อากาศที่เราหายใจ มีออกซิเจนอยู่ร้อยละ 13
การกำจัดของเสียทางปอด
การกำจัดของเสียทางปอด กำจัดออกมาในรูปของน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นผลที่ ไต้จากกระบวนการหายใจ โดยน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แพร่ออกจากเซลล์เข้าสู่หลอดเลือดและ เลือดจะทำหน้าที่ลำเลียงไปยังปอด แล้วแพร,เข้าสู่ถุงลมที่ปอด หลังจากนั้นจึงเคลื่อนผ่านหลอดลมแล้ว ออกจากร่ายกายทางจมูก ซึ่งเรียกว่า กระบวนการ Metabolism
1. ผิวหนัง
ผิวหนังของคนเป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ชั้นนอกสุด ที่ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ ผิวหนังของผู้ใหญ่คนหนึ่ง มีเนื้อที่ประมาณ 3,000 ตารางนิ้ว ผิวหนังตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จะหนาประมาณ 14 มิลลิเมตร แตกต่างกันไปตามอวัยวะ และบริเวณที่ถูกเสียดสี เช่น ผิวหนังที่ศอกและเข่า จะหนากว่าผิวหนังที่แขน และขา
โครงสร้างของผิวหนัง
ผิวหนังของคนเราแบ่งออกได้เป็น 2 ชั้น คือ หนังกำพร้าและหนังแท้
1. หนังกำพร้า (Epidemis) เป็นผิวหนังที่อยู่ชั้นบนสุด มีลักษณะบางมาก ประกอบไป ด้วยเซลล์ เรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ โดยเริ่มด้นจากเซลล์ชั้นในสุด ติดกับหนังแท้ ซึ่งจะแบ่งตัวเติบโตขึ้น แล้วค่อย ๆ เลื่อนมาทดแทนเซลล์ที่อยู่ชั้นบนจนถึงชั้นบนสุด แล้วก็กลายเป็นขี้ไคลหลุดออกไป
นอกจากนี้ ในชั้นหนังกำพร้ายังมีเซลล์ เรียกว่า เมลานิน ปะปนอยู่ด้วย เมลานินมีมาก หรือน้อยขึ้นอยู่กับบุคคลและเชื้อชาติ จึงทำให้สีผิวของคนแตกต่างกันไป ในชั้นของหนังกำพร้าไม,มี หลอดเลือด เส้นประสาท และต่อมต่าง ๆ นอกจากเป็นทางผ่านของรูเหงื่อ เสันขนและไขมันเท่านั้น
2. หนังแท้ (Dermis) เป็นผิวหนังที่อยู่ชั้นล่าง ลัดจากหนังกำพร้าและหนากว่าหนังกำพร้า มาก ผิวหนังชั้นนื้ประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) หลอดเลือดฝอย เส้นประสาท กล้ามเนื้อเกาะเส้นขน ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ และมีขุมขนกระจายอยู่ทั่วไป
หน้าที่ของผิวหนัง
1. ป้องกันและปกปิดอวัยวะภายในไม,ให้ได้รับอันตราย
2. ป้องกันเชื้อโรคไม,ให้เข้าสู่ร่างกายโดยง่าย
3. ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย โดยต่อมเหงื่อทำหน้าที่ ขับเหงื่อออกมา
4. ช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ โดยระบบหลอดเลือดฝอยและการระเหยของเหงื่อ
5. รับความรู้สึกสัมผัส เช่น ร้อน หนาว เจ็บ ฯลฯ
6. ช่วยสร้างวิตามินดีให้แก,ร่างกาย โดยแสงแดดจะเปลี่ยนไขมันชนิดหนึ่งที่ผิวหนังให้เป็น วิตามินดีได้
7. ขับไขมันออกมาหล่อเลียงเส้นผม และขน ให้เงางามอยู่เสมอและไม,แห้ง



การดูแลรักษาผิวหนัง
ทุกคนย่อมมีความต้องการมีผิวหนังที่สวยงาม สะอาด ไม,เป็นโรคและไม,เหี่ยวย่นเกิน กว่าวัย ฉะนั้นจึงควรดูแลรักษาผิวหนังตัวเอง ดังนี้
1. อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ โดย
1.1 อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ในเวลาเช้าและเย็น เพื่อช่วยชำระล้างคราบ เหงื่อ
ไคลและความสกปรกออกไป
1.2 ฟอกตัวด้วยสบู่ที่มีฤทธิ์เป็นด่างอ่อน ๆ
1.3 ทำความสะอาดให้ทั่ว โดยเฉพาะบริเวณใต้รักแร้ ขาหนีบ ข้อพับ อวัยวะเพศ ง่ามนิ้วมือ นิ้วเท้า ใต้คางและหลังใบหู เพราะเป็นที่อับและเก็บความชื้น
อยู่ไต้นาน
1.4 ในขณะอาบนำ ควรใช้นิ้วมือ หรือฝ่ามือ ถูตัวแรง ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายสะอาด และยังช่วยให้การหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น
1.5 เมื่ออาบน้ำเสร็จ ควรใช้ผ้าเช็ดตัวที่สะอาด เช็ดตัวให้แห้ง แล้วจึงค่อยสวมเสื้อผ้า
2. หลังอาบน้ำ ควรใส่เสื้อผ้าที่สะอาด และเหมาะสมกับอากาศและงานที่ปฏิบัติ เช่น ล้าอากาศร้อนก็ควรใส่เสื้อผ้าบาง เพื่อไม,ให้เหงื่อออกมาก เป็นต้น
3. กินอาหารให้ถูกต้องและครบล้วนตามหลักโภชนาการ โดยเฉพาะอาหารที่มี วิตามินเอ เช่น พวกน้ำมันตับปลา ตับสัตว์ เนย นม ไข,แดง เครื่องในสัตว์ มะเขือเทศ มะละกอ รวมทั้งพืชใบเขียวและใบเหลือง วิตามินเอจะช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น ไม,เป็นสะเก็ด ทำให้เล็บไม,เปราะและยังทำให้เส้นผมไม,ร่วงง่ายอีกด้วย
4. ดื่มนิ้วมาก ๆ เพื่อทำให้ผิวหนังเปล่งปลั่ง
5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้การหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น
6. ควรให้ผิวหนังได้รับแสงแดดสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเวลาเช้าซึ่งแดดไม,จัดเกินไป และ พยายามหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจ้า เพราะจะทำให้ผิวหนังเกรียมและกร้านดำ
7. ระมัดระวังในการใช้เครื่องสำอาง เพราะอาจเกิดอาการแพ้หรือทำให้ผิวหนังอักเสบ เป็นอันตรายต่อผิวหนังไต้ หากเกิดอาการแพ้ต้องเลิกใช้เครื่องสำอางชนิดนั้นทันที
8. เมื่อมีสิ่งผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นกับผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์
ระบบขับถ่ายปัสสาวะ
อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบขับถ่ายปัสสาวะมี ดังนี้
1. ไต (Kidneys) มีอยู่ 2 ข้าง รูปร่างคล้ายเมล็ดถั่วแดง อยู่ทางด้างหลังของช่องท้องบริเวณเอว ไตข้างขวามักจะอยู่ต่ำกว่าข้างซ้ายเล็กน้อย ในไตจะมีหลอดไต (Nephron หรือ Kidney Tubule) ประมาณ 1 ล้านหลอด ทำหน้าที่กรองปัสสาวะออกจากเลือด ดังนั้นไตจึงเป็นอวัยวะสำคัญที่ใช้เป็นโรงงานสำหรับ ขับถ่ายปัสสาวะด้วยการกรองของเสีย เช่น ยูเรีย (Urea) เกลือแร, และน้ำออกจากเลือดที่ไหลผ่านเข้ามาให้ เป็นน้ำปัสสาวะแล้วไหลผ่านกรวยไตลงสู่ท่อไตเข้าไปเก็บไว้ที่กระเพาะปัสสาวะ
2. กรวยไต (Pelvis) คือ ช่องกลวงภายในที่มีรูปร่างเหมือนกรวย ส่วนของก้นกรวยจะติดต่อกับ ก้านกรวย ซึ่งก้านกรวยก็คือท่อไตนั่นเอง
3. ท่อไต (Ureter) มีลักษณะเป็นท่อออกมาจากไตทั้ง 2 ข้าง เชื่อมต่อกับกระเพาะปัสสาวะ ยาวประมาณ 10-12นิ้ว จะเป็นทางผ่านของปัสสาวะจากไตไปสู่กระเพาะปัสสาวะ
4. กระเพาะปัสสาวะ (Urinary Bladder) เป็นที่รองรับน้ำปัสสาวะจากไตที่ผ่านมาทางท่อไต สามารถขยายได้ ขับปัสสาวะได้ประมาณ 1 ลิตร แต่ล้าเกิน 700 ซีซี (ลูกบาศก์เซนติเมตร) อาจเป็น อันตรายได้ เมื่อมีน้ำปัสสาวะมาอยู่ในกระเพาะปัสสาวะมากขึ้นจะรู้สึกปวดปัสสาวะ
5. ท่อปัสสาวะ (Urethra) เป็นท่อที่ต่อจากกระเพาะปัสสาวะไปสู่อวัยวะเพศ ซึ่งของเพศชายจะ ผ่านอยู่กลางองคชาต ซึ่งท่อนี้จะเป็นทางผ่านของปัสสาวะเพื่อที่จะไหลออกสู่ภายนอก ปลายท่อจึงเป็น ทางออกของปัสสาวะ ท,อปัสสาวะของเพศชายยาว 20 เซนติเมตร ของเพศหญิงยาว 4 เซนติเมตร



กระบวนการขับถ่ายปัสสาวะ
กระบวนการทำงานในร่างกายของคนเราจะทำให้เกิดของเสียต่าง ๆ ออกจากเซลล์เข้าสู่หลอด เลือด เช่น ยูเรีย (Uria) แอมโมเนีย (Ammonia) กรดยูริก (Uric Acid) เป็นต้น แล้วเลือดพร้อมของเสีย ดังกล่าว จะไหลเวียนมาที่ไต ในวันหนึ่ง ๆ จะมีเลือดไหลผ่านไตเป็นจำนวนมาก โดยเลือดจะไหลเวียนสู่ หลอดเลือดย่อยที่อยู่ในไต ไตจะทำหน้าที่กรองของเสียที่อยู่ในเลือด รวมทั้งน้ำบางส่วนแล้วขับลงสู่ท่อไต ซึ่งเราเรียกน้ำและของเสียที่ถูกขับออกมานี้ว่า “น้ำปัสสาวะ” เมื่อมีน้ำปัสสาวะผ่านเข้ามา ท่อไตจะบีบตัว เป็นระยะๆ เพื่อให้น้ำปัสสาวะลงสู่กระเพาะปัสสาวะทีละหยด จนมีน้ำปัสสาวะอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ ประมาณ 200 - 250 ซีซี กระเพาะปัสสาวะจะหดตัวทำให้รู้สึกเริ่มปวดปัสสาวะ ล้ามีปริมาณน้ำปัสสาวะ มากกว่านี้จะปวดปัสสาวะมากขึ้น หลังจากนั้นน้ำปัสสาวะจะถูกขับผ่านท่อปัสสาวะออกจากร่างกายทาง ปลายท่อปัสสาวะ ในแต่ละวันร่างกายจะขับน้ำปัสสาวะออกมาประมาณ 1 - 1.5 ลิตร แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่เข้าสู่ร่างกาย จากอาหารและน้ำดื่มด้วยว่ามีมากน้อยเพียงใด ล้ามีปริมาณน้ำมากน้ำปัสสาวะก็ จะมีมาก ทำให้ต้องปัสสาวะบ่อยครั้ง แด,ล้าปริมาณน้ำเข้าสู่ร่างกายน้อยหรือถูกขับออกทางเหงื่อมากแล้ว จะทำให้น้ำปัสสาวะมีน้อยลงด้วย
การเสริมสร้างและดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบขับถ่ายปัสสาวะ
1. ดื่มน้ำสะอาดมากๆ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว จะช่วยให้ระบบขับถ่ายปัสสาวะดีขึ้น
2. ควรปองกันการเป็นนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะโดยหลีกเลี่ยงการรับประทานผักที่มีสาร ออกซาเลต (Oxalate) สูง เช่น หน่อไม้ ชะพลู ผักแพรว ผักกระโดน เป็นต้น เพราะผักพวกนี้จะทำให้เกิด การสะสมสารแคลเซียมออกซาเลต (Calcium Oxalate) ในไตและกระเพาะปัสสาวะไต้ แด,ควร รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์นม ไข, ถั่วต่าง ๆ เพราะอาหารพวกนี้มีสารฟอสเฟต (Phosphate) สูง จะช่วยลดอัตราของการเกิดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะไต้ เช่น นิ่วในไต นิ่วในท่อไต นิ่วในกระเพาะ ปัสสาวะ เป็นต้น
3. ไม,ควรกลั้นปัสสาวะไว้นานจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดิน ปัสสาวะไต้
4. เมื่อมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะควรรีบปรึกษาแพทย์
ระบบขับถ่ายของเสียทางลำไล้ใหญ่
ร่างกายมนุษย์มีกลไกต่าง ๆ คล้ายเครื่องยนต์ ร่างกายต้องใช้พลังงาน การเผาผลาญพลังงานจะ เกิดของเสีย ซึ่งของเสียที่ร่างกายต้องกำจัดออกไปมีอยู่ 2 ประเภท
1. สารที่เป็นพิษต่อร่างกาย
2. สารที่มีปริมาณมากเกินความต้องการ
ระบบการขับถ่าย เป็นระบบที่ร่างกายขับถ่ายของเสียออกไปของเสียในรูปแก๊ส คือลมหายใจ ของเหลว คือ เหงื่อและปัสสาวะของเสียในรูปของแข็งคืออุจจาระ เช่น
- อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูปของแข็ง คือ ลำไล้ใหญ่ (ดูระบบย่อย อาหาร)
- อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูปของแก๊ส คือ ปอด (ดูระบบหายใจ)
- อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูปของเหลว คือ ไตและผิวหนัง
- อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูปปัสสาวะ คือ ไต หลอดไตและ กระเพาะปัสสาวะ
- อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูปเหงื่อ คือ ผิวหนัง ซึ่งมีต่อมเหงื่ออยู่ใน ผิวหนังทำหน้าที่ขับเหงื่อ
การย่อยอาหารจะสิ้นสุดลงบริเวณรอยต่อระหว่างลำไล้เล็กกับลำไล้ใหญ่ ลำไล้ใหญ่ยาว ประมาณ 5 ฟุต ภายในมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 นิ้ว เนื่องจากอาหารที่ลำไล้เล็กย่อยแล้วจะเป็น ของเหลว หน้าที่ของลำไล้ใหญ่ครึ่งแรก คือ ดูดซึมของเหลว น้ำ เกลือแร่,และน้ำตาลกลูโคสที่ยังเหลืออยู่ ในกากอาหาร ส่วนลำไล้ใหญ่ครึ่งหลังจะเป็นที่พักกากอาหารซึ่งมีลักษณะกึ่งของแข็ง ลำไล้ใหญ่ จะขับเมือกออกมาหล่อลื่นเพื่อให้อุจจาระเคลื่อนไปตามลำไล้ใหญ่ได้ง่ายขึ้น ถ้าลำไล้ใหญ่ดูดน้ำมาก เกินไป เนื่องจากการอาหารตกค้างอยู่ในลำไล้ใหญ่หลายวัน จะทำให้กากอาหารแข็ง เกิดความลำบาก ในการขับถ่าย ซึ่งเรียกว่า ท้องผูก โดยปกติกากอาหารผ่านเข้าสู่ลำไล้ใหญ่ประมาณวันละ 300 - 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร ซึ่งจะทำให้เกิดอุจจาระประมาณวันละ 150 กรัม
สาเหตุของอาการท้องผูก
1. กินอาหารที่มีกากอาหารน้อย
2. กินอาหารรสจัด
3. การถ่ายอุจจาระไม,เป็นเวลาหรือกลั้นอุจจาระติดต่อกันหลายวัน
4. ดื่มน้ำชา กาแฟ มากเกินไป
5. สูบบุหรี่จัดเกินไป
6. เกิดความเครียด หรือความกังวลมาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น